ตราสาร
มูลนิธิเพื่อพัฒนาการศึกษาเอกชน
หมวดที่ 1
ชื่อเครื่องหมายและสำนักงานที่ตั้ง
ข้อ 1 มูลนิธินี้ชื่อว่า มูลนิธิเพื่อพัฒนาการศึกษาเอกชน ย่อว่า ม.พ.ช. เรียกเป็น ภาษาอังกฤษว่า FOUNDATION FOR PRIVATE EDUCATION ย่อว่า FPED
ข้อ 2 เครื่องหมายของมูลนิธินี้ คือ ดอกบัวและตราของสำนักงานคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
ข้อ 3 สถานที่ตั้งมูลนิธิ เลขที่ 33/247 ถนนรามอินทรา แขวงท่าแร้ง เขตบางเขน กรุงเทพมหานคร 10230
หมวดที่ 2
วัตถุประสงค์
ข้อ 4 วัตถุประสงค์ของมูลนิธินี้ คือ
4.1 เพื่อส่งเสริมวิชาชีพครูและบุคลากรของโรงเรียนเอกชน
4.2 เพื่อส่งเสริมขวัญและกำลังใจของครูและบุคลากรของโรงเรียน เอกชน
4.3 เพื่อพัฒนาคุณภาพการศึกษาของนักเรียนในโรงเรียนเอกชน
4.4 เพื่อพัฒนาโรงเรียนเอกชน
4.5 เพื่อดำเนินการเพื่อสาธารณประโยชน์ หรือร่วมมือกับองค์การ การกุศล อื่น ๆ เพื่อสาธารณประโยชน์
4.6 ไม่ดำเนินการเกี่ยวกับการเมืองแต่ประการใด
หมวดที่ 3
ทุนทรัพย์ ทรัพย์สินและการได้มาซึ่งทรัพย์สิน
ข้อ 5 ทรัพย์สินของมูลนิธิมีทุนเริ่มแรกคือ
5.1 เงินสดจำนวน 331,100 บาท (สามแสนสามหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
5.2 ที่ดินโฉนดเลขที่-รวมเป็นราคาทรัพย์สินทั้งสิ้น 331,100 บาท (สามแสนสามหมื่นหนึ่งพันหนึ่งร้อยบาทถ้วน)
ข้อ 6 มูลนิธิอาจได้มาซึ่งทรัพย์สินโดยวิธีต่อไปนี้
6.1 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้ยกให้โดยพินัยกรรมหรือนิติกรรมอื่น โดยมิได้มีเงื่อนไขผูกพันให้มูลนิธิต้องรับผิดชอบในหนี้สินหรือภาวะติดพันอื่นใด
6.2 เงินหรือทรัพย์สินที่มีผู้มีจิตศรัทธา บริจาคให้
6.3 ดอกผลซึ่งเกิดจากทรัพย์สินของมูลนิธิ
หมวดที่ 4
คุณสมบัติและการพ้นจากตำแหน่งของกรรมการ
ข้อ 7 กรรมการของมูลนิธิต้องมีคุณสมบัติดังนี้
7.1 อายุไม่ต่ำกว่า 20 ปีบริบูรณ์
7.2 ไม่เป็นบุคคลล้มละลายหรือไร้ความสามารถหรือเสมือนไร้ความสามารถ
7.3 ไม่เป็นผู้ต้องคำพิพากษาให้จำคุก เว้นแต่จะได้กระทำโดยประมาทหรือความผิดลหุโทษ
ข้อ 8 กรรมการของมูลนิธิพ้นจากตำแหน่งเมื่อ
8.1 ถึงคราวออกตามวาระ
8.2 ตายหรือลาออก
8.3 ขาดคุณสมบัติตามตราสารข้อ 7
8.4 เป็นผู้มีความประพฤติและปฏิบัติตนเป็นที่เสื่อมเสีย และ คณะกรรมการมูลนิธิ มีมติให้ลาออก โดยมีคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสามในสี่ของคณะกรรมการมูลนิธิ
หมวดที่ 5
การดำเนินงานของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 9 มูลนิธินี้ดำเนินการโดยคณะกรรมการมูลนิธิจำนวนไม่น้อยกว่า 5 คน แต่ไม่เกิน 25 คน ประกอบด้วย ประธานกรรมการมูลนิธิ รองประธานกรรมการมูลนิธิ เลขานุการมูลนิธิ เหรัญญิก และตำแหน่งอื่น ๆ ตามแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 10 ในวาระเริ่มแรกให้คณะกรรมการผู้เริ่มจัดตั้งมูลนิธิเป็นผู้เลือกตั้ง คณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิขึ้น
คณะหนึ่ง ประกอบด้วยประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามตราสาร
ข้อ 11 วิธีเลือกตั้งกรรมการมูลนิธิให้ปฏิบัติดังนี้
ให้คณะกรรมการมูลนิธิชุดที่ดำรงตำแหน่งอยู่เลือกตั้งประธานกรรมการมูลนิธิและกรรมการอื่น ๆ ตามจำนวนที่เห็นสมควรตามตราสาร
ข้อ 12 กรรมการดำเนินงานของมูลนิธิอยู่ในตำแหน่งคราวละ 4 ปี
ข้อ 13 เพื่อให้การดำเนินงานของมูลนิธิได้เป็นไปโดยติดต่อกัน เมื่อ
คณะกรรมการดำเนินงานของมูลนิธิได้ปฏิบัติหน้าที่มาครบ 2 ปี(ครึ่งหนึ่งของวาระการดำรงตำแหน่ง) ให้มีการจับฉลากออกไปหนึ่งในสองของจำนวนกรรมการมูลนิธิที่ได้รับเลือกเป็นกรรมการดำเนินงานมูลนิธิครั้งแรก
ข้อ 14 การเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิ ให้ถือเสียงข้างมากของที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิเป็นมติของที่ประชุม
ข้อ 15 กรรมการมูลนิธิที่พ้นจากตำแหน่งตามวาระ หรือโดยการจับฉลากในวาระแรก อาจได้รับเลือกเข้าเป็นกรรมการมูลนิธิให้อีก
ข้อ 16 ถ้าตำแหน่งกรรมการมูลนิธิว่างลง ให้คณะกรรมการมูลนิธิที่เหลืออยู่ตั้งบุคคลอื่นเป็นกรรมการมูลนิธิแทนตำแหน่งที่ว่าง กรรมการมูลนิธิผู้ได้รับการตั้งซ่อมอยู่ในตำแหน่งเท่าวาระของผู้ที่ตนแทน และให้กรรมการมูลนิธิที่หมดวาระรักษาการกรรมการมูลนิธิไปพลางก่อน จนกว่าจะได้มีการเปลี่ยนแปลงกรรมการมูลนิธิชุดใหม่
หมวดที่ 6
อำนาจหน้าที่คณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 17 คณะกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ในการดำเนินการของมูลนิธิ ตามวัตถุประสงค์ของมูลนิธิและภายใต้ข้อบังคับตราสารนี้ ให้มีอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ ดังต่อไปนี้
17.1 กำหนดนโยบายของมูลนิธิและดำเนินงานตามนโยบายนั้น
17.2 ควบคุมการเงินและทรัพย์สินต่าง ๆ ของมูลนิธิ
17.3 เสนอรายงานกิจการ รายงานการเงินและ บัญชีงบดุลรายได้รายจ่ายต่อกระทรวงมหาดไทย
17.4 ดำเนินการให้เป็นไปตามมติที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิและวัตถุประสงค์ของตราสารนี้
17.5 ตราระเบียบเกี่ยวกับการดำเนินกิจการของมูลนิธิ
17.6 แต่งตั้งหรือถอดถอนคณะอนุกรรมการขึ้นคณะหนึ่งหรือหลายคณะ เพื่อดำเนินการเฉพาะอย่างของมูลนิธิภายใต้การควบคุมของคณะกรรมการมูลนิธิ
17.7 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิ หรือบุคคลที่ทำประโยชน์ให้มูลนิธิเป็นกรรมการกิตติมศักดิ์
17.8 เชิญผู้ทรงเกียรติเป็นผู้อุปถัมภ์มูลนิธิ
17.9 เชิญผู้ทรงคุณวุฒิเป็นที่ปรึกษาของกรรมการมูลนิธิ
17.10 แต่งตั้งหรือถอดถอนเจ้าหน้าที่ที่ประจำของมูลนิธิมติให้ดำเนินการตามข้อ 17.1, 17.8 และ 17.9 ต้องเป็นมติเสียงข้างมากของที่ประชุมและที่ปรึกษาตามข้อ 17.9 ย่อมเป็นที่ปรึกษาของคณะกรรมการมูลนิธิที่เชิญเท่านั้น
ข้อ 18 ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจหน้าที่ดังนี้
18.1 เป็นประธานของการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
18.2 สั่งเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
18.3 เป็นผู้แทนของมูลนิธิในการติดต่อกับบุคคลภายนอก และในการทำนิติกรรมใด ๆ ของมูลนิธิ หรือการลงลายมือชื่อในเอกสาร ตราสารและสรรพหนังสืออันเป็นหลักฐานของมูลนิธิ และในการอรรถคดีนั้น เมื่อประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้แทนหรือกรรมการมูลนิธิ 2 คน ได้ลงลายมือชื่อแล้วจึงเป็นอันใช้ได้
18.4 ปฏิบัติการอื่น ๆ ตามตราสารและมติของคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 19 ให้รองประธานกรรมการมูลนิธิ ทำหน้าที่แทนประธานกรรมการมูลนิธิ เมื่อประธานไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ หรือในกรณีที่ประธานมอบหมายให้ทำการแทน
ข้อ 20 ถ้าประธานกรรมการมูลนิธิและรองประธานกรรมการมูลนิธิไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ในการประชุมคราวหนึ่งคราวใดได้ ให้ที่ประชุมเลือกตั้งคณะกรรมการมูลนิธิคนใดคนหนึ่งเป็นประธานสำหรับการประชุมคราวนั้น
ข้อ 21 เลขานุการมูลนิธิมีหน้าที่ควบคุมกิจการและดำเนินการประจำของมูลนิธิติดต่อประสานงานทั่วไป รักษาระเบียบ
ข้อบังคับของมูลนิธิ นัดประชุมกรรมการตามคำสั่งของประธานกรรมการมูลนิธิ และทำรายงานการประชุมตลอดจนรายงานกิจการของมูลนิธิ
ข้อ 22 เหรัญญิกมีหน้าที่ควบคุมการเงิน ทรัพย์สินของมูลนิธิ ตลอดจนบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้องให้ถูกต้อง และเป็นไปตามระเบียบที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด
ข้อ 23 สำหรับกรรมการตำแหน่งอื่น ๆ ให้มีหน้าที่ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด โดยทำเป็นคำสั่งระบุอำนาจหน้าที่ให้ชัดเจน
ข้อ 24 คณะกรรมการมูลนิธิมีสิทธิ์เข้าร่วมประชุมหรืออนุกรรมการอื่น ๆ ของมูลนิธิได้
หมวดที่ 7
อนุกรรมการ
ข้อ 25 คณะกรรมการมูลนิธิอาจแต่งตั้งขึ้นหรือถอดถอนอนุกรรมการได้ตามความเหมาะสมโดยจะแต่งตั้งให้เป็นอนุกรรมการประจำ หรือเพื่อการใดเป็นกรณีพิเศษเฉพาะคราวก็ได้ และในกรณีที่คณะกรรมการมูลนิธิไม่ได้แต่งตั้งประธานอนุกรรมการ เลขานุการ หรืออนุกรรมการในตำแหน่งอื่นไว้ก็ให้อนุกรรมการแต่ละคณะแต่งตั้งกันเองดำรงตำแหน่ง
ดังกล่าวได้
ข้อ 26 อนุกรรมการ อยู่ในตำแหน่งจนกว่าจะเสร็จงานที่ได้รับมอบหมายให้กระทำ ส่วนคณะอนุกรรมการประจำอยู่ในตำแหน่งตามเวลาที่คณะกรรมการมูลนิธิ กำหนด ซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ก็ให้อยู่ในตำแหน่งได้เพียงเท่าวาระของคณะกรรมการมูลนิธิซึ่งเป็น ผู้แต่งตั้งและ อนุกรรมการที่พ้นจากตำแหน่งอาจได้รับการ แต่งตั้งอีกได้
26.1 อนุกรรมการมีหน้าที่ดำเนินการตามที่คณะกรรมการมูลนิธิมอบหมาย
26.2 อนุกรรมการมีหน้าที่เสนอความคิดเห็นต่อคณะกรรมการมูลนิธิ เกี่ยวกับงานที่ได้รับมอบหมาย
หมวดที่ 8
การประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 27 คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องจัดให้มีการประชุมสามัญประจำทุก ๆ ปีภายในเดือนพฤศจิกายน แล้วต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุมอย่างน้อยครึ่งหนึ่งของจำนวนกรรมการทั้งหมดจึงจะเป็นองค์ประชุม
ข้อ 28 การประชุมวิสามัญอาจมีได้ในเมื่อประธานกรรมการหรือเมื่อคณะกรรมการมูลนิธิตั้งแต่ 2 คน ขึ้นไป
แสดงความประสงค์ไปยังประธานกรรมการมูลนิธิ หรือ ผู้ทำหน้าที่แทนขอให้มีการประชุมก็ให้เรียกประชุมวิสามัญได้
ข้อ 29 กำหนดการประชุมและองค์ประชุมของคณะอนุกรรมการ ให้เป็นไปตามที่คณะกรรมการมูลนิธิจะกำหนดซึ่งถ้ามิได้กำหนดไว้ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับกำหนดการประชุมให้คณะอนุกรรมการตกลงกันเองและในส่วนที่เกี่ยวข้องกับ
องค์ประชุมให้ใช้ข้อ 27 บังคับโดยอนุโลม
ข้อ 30 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิหรือคณะอนุกรรมการ หากมิได้มีข้อบังคับกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น มติของที่ประชุมให้ถือเอาคะแนนเสียงข้างมากในกรณีที่มีคะแนนเสียงเท่ากันให้ประธาน ในที่ประชุมเป็นผู้ชี้ขาด กิจการใดที่เป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อย ประธานกรรมการมูลนิธิมีอำนาจสั่งให้ใช้วิธีสอบถามมติทางหนังสือแทนการเรียกประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ แต่ประธานกรรมการมูลนิธิต้องรายงานต่อที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิในคราวต่อไปถึงมติและกิจการที่ได้ดำเนินการไปตามมตินั้น กิจการใดเป็นงานประจำหรือเป็นกิจการเล็กน้อยหรือไม่ ย่อมอยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิ
ข้อ 31 ในการประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ หรือ คณะอนุกรรมการ ประธานกรรมการมูลนิธิหรือประธานที่ประชุมมีอำนาจเชิญหรืออนุญาตให้บุคคลที่เห็นสมควรเข้าร่วมประชุมในฐานะแขกผู้มีเกียรติหรือผู้สังเกตการณ์หรือเพื่อชี้แจงหรือเพื่อให้คำปรึกษา แก่ที่ประชุมได้
หมวดที่ 9
การเงิน
ข้อ 32 ประธานกรรมการมูลนิธิ หรือรองประธานกรรมการมูลนิธิในกรณีที่ทำหน้าที่แทนผู้มีอำนาจสั่งจ่ายเงินได้คราวละไม่เกิน 100,000 บาท ถ้าเกินกว่าจำนวนดังกล่าวได้รับอนุมัติจากคณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมาก เว้นแต่กรณีจำเป็นและเร่งด่วนให้อยู่ในดุลพินิจของประธานกรรมการมูลนิธิที่จะอนุมัติให้จ่าย แล้วต้องรายงานให้คณะกรรมการมูลนิธิทราบในการประชุมคราวต่อไป
ข้อ 33 เหรัญญิกมีอำนาจเก็บรักษาเงินสดได้ครั้งละไม่เกิน 5,000 บาท
ข้อ 34 เงินสดของมูลนิธิหรือเอกสารสิทธิ ต้องนำฝากไว้กับธนาคารหรือสถาบันการเงินอื่นใดที่รัฐบาลให้ค้ำประกัน
แล้วแต่คณะกรรมการมูลนิธิจะเห็นสมควร
ข้อ 35 การสั่งจ่ายเงินโดยเช็คหรือคำสั่งจ่ายเงิน จะต้องมีลายมือชื่อของประธานกรรมการมูลนิธิหรือผู้ทำแทน
กับเลขานุการหรือเหรัญญิกลงนามทุกครั้งจึงเบิกจ่ายได้
ข้อ 36 ในการใช้จ่ายของมูลนิธิ ให้จ่ายเพียงดอกผลอันเกิดจากทรัพย์สินที่เป็นทุนของมูลนิธิ และเงินที่ผู้บริจาคมิได้แสดงเจตนาให้เป็นสมทบทุน โดยเฉพาะ
ข้อ 37 ให้คณะกรรมการ มูลนิธิวางระเบียบเกี่ยวกับเงิน การบัญชีและทรัพย์สินของมูลนิธิตลอดจนกำหนดอำนาจหน้าที่ต่าง ๆ เกี่ยวกับการรับและจ่ายเงินนอกเหนือจากที่กำหนดไว้ในข้อบังคับ
ข้อ 38 ให้มีผู้สอบบัญชีของมูลนิธิ ซึ่งคณะกรรมการมูลนิธิเห็นชอบและแต่งตั้งจากบุคลที่มิใช่กรรมการ หรือเจ้าหน้าที่อื่นของมูลนิธิโดยจะให้ดำรงตำแหน่งกิตติมศักดิ์ หรือ ได้รับค่าตอบแทนอย่างไรสุดแต่ที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ
จะกำหนด
ข้อ 39 ผู้สอบบัญชีมีอำนาจหน้าที่ตรวจสอบบัญชี และรับรองบัญชีงบดุลประจำที่คณะกรรมการมูลนิธิจะต้องรายงานต่อกระทรวงมหาดไทยผู้สอบบัญชีมีสิทธิ์ตรวจสอบบัญชีและเอกสารที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิ ในเรื่องใด ๆ ที่เกี่ยวข้องตลอดจนสอบถามกรรมการมูลนิธิและเจ้าหน้าที่ของมูลนิธิในเรื่องใด ๆ
ที่เกี่ยวกับการเงิน การบัญชีและเอกสารดังกล่าวได้
หมวดที่ 10
การแก้ไขเพิ่มเติมตราสาร
ข้อ 40 การแก้ไขเพิ่มเติมตราสารจะกระทำได้โดยเฉพาะที่ประชุมคณะกรรมการมูลนิธิ ซึ่งต้องมีกรรมการมูลนิธิเข้าประชุม ไม่น้อยกว่าสามในสี่ของจำนวนกรรมการทั้งหมด และมติให้แก้ไขหรือเพิ่มเติม ตราสาร ต้องประกอบด้วยคะแนนเสียงไม่น้อยกว่าสองในสามของจำนวนกรรมการที่เข้าประชุม
หมวดที่ 11
การเลิกมูลนิธิ
ข้อ 41 ถ้ามูลนิธิเลิกล้มไปโดยมติของคณะกรรมการ หรือ โดยเหตุใดก็ตาม ทรัพย์สินทั้งหมดของมูลนิธิที่เหลืออยู่
ให้ตกเป็นกรรมสิทธิ์แก่สภากาชาดไทย มูลนิธิสายใจไทย และมูลนิธิช่วยครูอาวุโส แห่งละเท่า ๆ กัน ตามที่คณะกรรมการมูลนิธิกำหนด (ผู้รับต้องมีฐานะเป็นนิติบุคคล)
ข้อ 42 การสิ้นสุดของมูลนิธินั้น นอกจากที่กฎหมายบัญญัติไว้แล้วให้มูลนิธิเป็นอันสิ้นสุดลงโดยมิต้องให้ศาลสั่งเลิก ด้วยเหตุต่อไปนี้
42.1 เมื่อมูลนิธิได้รับอนุญาตให้จดทะเบียนจัดตั้งเป็นนิติบุคคลแล้วไม่ได้รับทรัพย์
42.2 เมื่อกรรมการมูลนิธิจำนวนสองในสามมีมติให้ยกเลิก
42.3 เมื่อมูลนิธิไม่อาจหากรรมการได้ครบตามจำนวนกรรมการ
กำหนดไว้ตราสาร
42.4 เมื่อมูลนิธิไม่สามารถดำเนินการต่อไปได้ไม่ว่าด้วยเหตุใด
หมวดที่ 12
บทเบ็ดเตล็ด
ข้อ 43 การตีความในตราสารของมูลนิธิ หากเป็นที่สงสัยให้คณะกรรมการมูลนิธิโดยเสียงข้างมากจำนวนกรรมการที่มีอยู่เป็นผู้ชี้ขาด
ข้อ 44 ให้นำบทบัญญัติแห่งประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ว่าด้วยมูลนิธิมาใช้บังคับในเมื่อตราสารของมูลนิธิได้กำหนดไว้
ข้อ 45 มูลนิธิจะต้องไม่กระทำการค้ากำไร และจะต้องไม่ดำเนินการนอกเหนือไปจากตราสารที่กำหนดไว้
ลงนาม รุ่ง แก้วแดง ผู้จัดทำ
(นายรุ่ง แก้วแดง)
ตำแหน่ง เลขาธิการคณะกรรมการการศึกษาเอกชน
สำเนาตารางฉบับที่ได้รับอนุญาต
ได้จดทำเบียนเลขที่ ลำดับที่ 4978
มนัส นิลสุข
(นายมนัส นิลสุข)
แทนผู้อำนวยการกองการทะเบียน